วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2564

16.การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นและหลักสูตรอิงมาตราฐาน

 16.1 การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น

ความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่น

          ความสําคัญของหลักสูตรท้องถิ่น  หลักสูตรท้องถิ่น  เป็นหลักสูตรบูรณาการที่ผู้เรียน ชุมชนและครูร่วมกันสร้างขึ้น  เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียน เรียนจากชีวิต  เรียนแล้วเกิดการเรียนรู้สามารถ นําความรู้ไปใช้ในชีวิตอย่างมีคุณภาพและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมอย่างมีความสุข  การเรียนการสอน จะสอนตามความต้องการของผู้เรียน  โดยครูเป็นผู้คอยให้คําแนะนํา  ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ ด้วยตนเอง  ดังนั้น หลักสูตรท้องถิ่นจึงมีความสําคัญ  ดังต่อไปนี้  ( กองพัฒนาการศึกษานอก โรงเรียน. 2543 : 5 )              

1.  เป็นหลักสูตรที่ตอบสนองการเรียนรู้ของรู้เรียนเฉพาะเนื้อหาสาระของหลักสูตร สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนตามสภาพปัญหาที่เป็นจริง              

2.  ทําให้กิจกรรมการเรียนรู้มีความหมายต่อผู้เรียน  เพราะผู้เรียนสามารถนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้             

3.  ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้  เพื่อที่จะมาใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาในชีวิต จริงของตนเองในวันข้างหน้า  รวมทั้งวิธีวิเคราะห์  สังเคราะห์ข้อมูล  เพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสมกับ การดําเนินชีวิตของตนเอง             

4.  ชุมชนและภูมิปัญญาในชุมชน  มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียน  ซึ่ง เป็นสมาชิกของชุมชน   


ความหมายของหลักสูตรท้องถิ่น

หลักสูตรท้องถิ่น  หมายถึงหลักสูตรที่สร้างขึ้นจากสภาพปัญหาและความต้องการของ ผู้เรียน  หลักสูตรท้องถิ่นจะสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่นนั้นๆ เป็น การเรียนรู้จากภูมิปัญญาที่มีอยู่ในท้องถิ่น  ผู้เรียนแสวงหาองค์ความรู้ที่ตอบสนองกับวิถีชีวิตของ ตนเอง  ปรับตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัตน์  ผู้เรียนจะเรียนรู้ตามสภาพ จริงของตนเอง  สามารถนําความรู้ไปใช้การพัฒนาตนเอง  ครอบครัว และชุมชนได้  ( กองพัฒนา การศึกษานอกโรงเรียน. 2543 : 3 )  จึงอาจสรุปได้ว่า  หลักสูตรท้องถิ่น  หมายถึง ประสบการณ์การ เรียนรู้ที่จัดให้กับกลุ่มผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จัดตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนใน ท้องถิ่นนั้นๆ  เป้าหมายหลัก คือ  ต้องการให้ผู้เรียนได้นําไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้ ดีขึ้น   


องค์ประกอบของหลักสูตรท้องถิ่น

ทาบา ( Taba ; อ้างถึงในกอง พัฒนาการศึกษานอกโรเรียน. 2543 )  มีแนวคิดว่าการพัฒนาหลักสูตร  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ อย่างไร  ควรมีองค์ประกอบ 4 ประการด้วยกัน คือ  

1) วัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เฉพาะ วิชา  

2) เนื้อหาวิชาและจํานวนชั่วโมงสอนแต่ละวิชา  

3)  กระบวนการเรียนการสอน และ  

4)  โครงการประเมินผลตามหลักสูตร  


แนวทางการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น

 มีแนวทางการจัดทำหลักสูตรคือ เป็นหลักสูตรบูรณาการที่ผู้เรียน ชุมชนและครูร่วมกันสร้างขึ้น  เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียน เรียนจากชีวิต  เรียนแล้วเกิดการเรียนรู้สามารถ นําความรู้ไปใช้ในชีวิตอย่างมีคุณภาพและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมอย่างมีความสุข  การเรียนการสอน จะสอนตามความต้องการของผู้เรียน  โดยครูเป็นผู้คอยให้คําแนะนํา  ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ ด้วยตนเอง 


ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น

กระบวนการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น  ประกอบด้วย ขั้นตอนหลัก 4 ขั้นตอน  ดังนี้  ( กองพัฒนาการศึกษานอโรงเรียน. 2543 : 13 )             

ขั้นที่ 1  การสํารวจสภาพปัญหาของชุมชน             

ขั้นที่ 2  การวิเคราะห์สภาพปัญหาชุมชนและความต้องการของผู้เรียน            

 ขั้นที่ 3  เขียนผังหลักสูตร            

 ขั้นที่ 4  เขียนหลักสูตร           


      1.  สํารวจสภาพปัญหาของชุมชน  คือ  การศึกษาข้อมูลเป็นอยู่ของชุมชน เพื่อให้ได้ซึ่ง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น  ผู้สํารวจได้แก่  ครูการศึกษานอก โรงเรียน  ผู้เรียน  และผู้เกี่ยวข้อง  โดยสํารวจข้อมูลจากเอกสารซึ่งเป็นข้อมูลทุติยภูมิ  เช่น  ข้อมูล จากการวางแผนของศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอําเภอ  ข้อมูลจาก จปฐ. ข้อมูลจาก  กชช.2 ค  และจากหน่วยงานอื่นๆ  ที่ได้รวบรวมไว้แล้ว  และสํารวจข้อมูลปฐมภูมิที่ผู้สํารวจไปรวบรวมข้อมูล จากชุมชน เป็นข้อมูลที่สําคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง  ซึ่งเป็นข้อมูลที่แท้จริง และเป็นปัจจุบันของผู้เรียนและชุมชน               

      2.  การวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน  เมื่อทําการสํารวจชุมชนเสร็จ แล้ว  ข้อมูลที่ได้จะมีสภาพปัญหาของชุมชนที่หลากหลาย  มีทั้งปัญหาที่เป็นระดับความต้องการ (What) และปัญหาความจําเป็น (Need)  ดังนั้น จะต้องนําปัญหานั้นมาวิเคราะห์  จัดหมวดหมู่ของ ปัญหา  เช่น  แบ่งตามประเภทความรุนแรงของปัญหา  ความยากง่ายในการดําเนินการแก้ไข ปัญหา  ความเร่งด่วนของปัญหา  และข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน และนําทรัพยากรใช้ให้ เกิดประโยชน์             

     3.  การเขียนผังหลักสูตร   การจัดทําผังหลักสูตรท้องถิ่น  ผังหลักสูตร  หมายถึง  กรอบ ความคิดหัวข้อของหลักสูตร  ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน  ประกอบด้วยหัวข้อเรื่อง  หรือ หัวข้อเนื้อหาหลัก และหัวข้อย่อยที่ได้จากความต้องการ ( เป็นผลจากการวิเคราะห์สาเหตุของ ปัญหา  จากการสํารวจมาจากชุมชน )  ให้นําหัวข้อความต้องการมาจัดทําผังหลักสูตรท้องถิ่น  โดย โครงสร้างของผังหลักสูตร  ประกอบด้วย    

หัวเรื่องหลัก ( Theme )  หรือหัวข้อเนื้อหาหลักเป็นหัวข้อที่บอกถึงชื่อเรื่องใหญ่ได้ จากกลุ่มความต้องการ  ( ผลการวิเคราะห์สภาพปัญหา )  ซึ่งจะคลุมความต้องการย่อยๆ ในขอบข่าย เรื่องเดียวกัน              

หัวข้อย่อย ( Title )  เป็นหัวข้อเรื่องที่ตั้งจากความต้องการย่อยที่อยู่ในกลุ่มความ ต้องการใหญ่  ซึ่งอาจมีหลายเรื่อง  ในการพิจารณาหัวข้อย่อย  ให้พิจารณาความต้องการย่อยที่ วิเคราะห์แล้วก่อน  ถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องกลุ่มเดียวกัน  โดยรวมเป็นหัวข้อเดียวกันการสร้างกรอบหัวเรื่องย่อย  จะต้องจัดลําดับเนื้อหาจากง่ายไปสู่เนื้อหาที่ยากขึ้น ตามลําดับ  หรือจัดลําดับจากความเร่งด่วน  ไปสู่เนื้อหาที่เร่งด่วนน้อยกว่าการสร้างกรอบหัวเรื่องย่อย สามารถสร้างเพิ่มเติมได้  ดังนั้น  ในแต่ละหัวข้อหลักควรมีกรอบว่างไว้ด้วยเมื่อพบปัญหาใหม่ในเรื่อง เดียวกันก็สามารถมาใส่กรอบเพิ่มเติมได้  ดังตัวอย่าง 


16.2 การพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐาน


ความสำคัญของหักสูตรอิงมาตรฐาน

              เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมาย หรือกรอบทิศทางในการกำหนดเนื้อหา ทักษะกระบวนการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถบรรลุมาตรฐานที่กำหนดเป็นหลักสูตรที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายกล่าวโดยรวมก็คือการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ นำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standards-based  curriculum) การเรียนการสอนอิงมาตรฐาน (Standards-based  instruction) และการประเมินผลอิงมาตรฐาน (Standards-based assessment)


ความหมายของหลักสูตรอิงมาตรฐาน

หลักสูตรอิงมาตรฐาน   หมายถึงหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายหรือเป็นกรอบทิศทางในการ กําหนดเนื้อหา ทักษะกระบวนการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและประเมินผลเพื่อพัฒนา คุณภาพผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานเนื้อหาเกี่ยวกับองค์ความรู้ที่สําคัญ (essential  knowledge) ทักษะ (skills)  และพัฒนาการด้านจิตใจและความนึกคิด (habits of mind) และมาตรฐานการปฏิบัติ เกี่ยวกับคุณภาพและระดับ  (degree)  ที่ผู้เรียนต้องรู้ หรือทําตามที่มาตรฐานกําหนด 


องค์ประกอบของหลักสูตรอิงมาตรฐาน

 สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา  (2547, หน้า  4)  กล่าวว่าหลักสูตรอิงมาตรฐาน มีองค์ประกอบสําคัญดังนี้คือ    

1. วิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย สะท้อนว่าโรงเรียนมีภารกิจหลักที่พัฒนานักเรียนไปสู่ มาตรฐานการเรียนรู้ที่กําหนดไว้ในระดับชาติ ส่วนจุดเน้นอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ที่โรงเรียนต้องการเน้น เป็นสิ่งที่เสริมเพิ่มเติมตามความเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทและความ ต้องการของผู้เรียนและชุมชน  

2. โครงสร้างหลักสูตร  มีองค์ประกอบที่สําคัญ  ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ขอบข่าย สาระหลัก  เวลาเรียน  (ชั่วโมง/หน่วยกิต)  กิจกรรมพัฒนาผู้ เรียน เกณฑ์การจบหลักสูตรหรือ การผ่านช่วงชั้น  

3. คําอธิบายรายวิชา  (โครงสร้างรายวิชา) ระบุมาตรฐานช่วงชั้นที่ต้องการพัฒนา ผู้เรียนเพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน การประเมินผล การรายงานผลและการเทียบโอน เนื้อหาสาระหลกั วิธีการประเมินผลและเวลาเรียน คําอธิบายรายวิชาอิงมาตรฐานพิจารณาจากความสําคัญของมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นซึ่งจะพบเนื้อหาสาระ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะที่ ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุ 


ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐาน

มาตรฐานเป็นจุดเน้นของการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับ 

ในระบบการศึกษาที่มีมาตรฐานเป็นเป้าหมายนั้น กระบวนการพัฒนาหลักสูตรตลอดแนวตั้งแต่ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ระดับสถานศึกษา ตลอดจนถึงระดับชั้นเรียนจะต้องเน้นและยึดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นหลักและเป้าหมายสำคัญ นักการศึกษา และนักพัฒนาหลักสูตรในยุคปัจจุบันเชื่อว่า การนำมาตรฐานการเรียนรู้ไปสู่หลักสูตรสถานศึกษา และการเรียนการสอนในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่ สำคัญที่สุด

องค์ประกอบของหลักสูตรเชื่อมโยงกับมาตรฐาน 

นักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรในยุคปัจจุบันเชื่อว่า การนำมาตรฐานการเรียนรู้ไปสู่หลักสูตร สถานศึกษาและการเรียนการสอนในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นขั้นตอนของการนำสิ่งที่คาดหวังในระดับชาติ ไปก่อให้เกิดผลในการพัฒนาผู้เรียน ดังนั้นการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนให้เชื่อมโยงกับมาตรฐาน ทุกองค์ประกอบของหลักสูตรไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาสาระที่สอน กิจกรรมการเรียนรู้ ชิ้นงาน/ภาระงานที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ เกณฑ์การวัดและประเมินผล สื่อการเรียนรู้ ต้องเชื่อมโยงสะท้อนสิ่งที่ต้องการพัฒนาผู้เรียนที่ระบุไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้ ในการออกแบบหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ

หน่วยการเรียนรู้คือหัวใจของหลักสูตร 

การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ (Unit of learning) ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการจัดทำหลักสูตรอิงมาตรฐาน เพราะหน่วยการเรียนรู้จะมีรายละเอียดของเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการวัดและประเมินผล ซึ่งจะนำมาตรฐานไปสู่การปฏิบัติในในการจัดการเรียนการสอนใน ชั้นเรียนอย่างแท้จริง 

กระบวนการ และขั้นตอนการจัดทำหลักสูตรมีความยืดหยุ่น 

ในการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนอิงมาตรฐานนั้น สามารถทำได้หลายรูปแบบเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุถึงเป้าหมายเดียวกัน มิได้มีการกำหนดหรือจัดลำดับขั้นตอนที่แน่นอนตายตัวขึ้นอยู่กับเหตุผล วัตถุประสงค์ และความจำเป็นของแต่ละบริบท (Carr J.F. & Harris D.E., 2001;Solomon, P.G. ,1998) เช่น อาจเริ่มต้นจากการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ หรืออาจเริ่มจากการกำหนดหัวข้อ/ประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ หรือเริ่มจากบทเรียนที่มีอยู่เดิมแล้ว โดยเชื่อมโยงหัวข้อหรือบทเรียนนั้นๆว่าสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ใดบ้าง 

การประเมินผลสะท้อนมาตรฐานอย่างชัดเจน 

มาตรฐานและการประเมินผลมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การวัดและประเมินผลถือว่าเป็นจุดที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งของการจัดทำหลักสูตรแบบอิงมาตรฐาน แนวคิดด้านการศึกษาในยุคปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนจากยุคที่เน้นพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ย่อยเป็นยุคที่ให้ความสำคัญแก่การประเมินในองค์รวมโดยเทียบเคียงกับมาตรฐานเป็นสำคัญ



อ้างอิง 

 อัญชลี ธรรมะวิธีกุล.การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น.สืบค้นเมื่อวันที่17กันยายน2564.http://lpn.nfe.go.th/pranee/UserFiles/Pdf/local%20courses.pdf

panpongpat.หลักสูตรอิงมตราฐาน.สืบค้นเมื่อวันที่17กันยายน2564.https://panpongpat.blogspot.com/p/standards-based-curriculum-standards.html

สมนึก แซ่อึ้ง.(2552).หลักสูตรอิงมตราฐาน.สืบค้นเมื่อวันที่17กันยายน2564.https://www.gotoknow.org/posts/338268


แบบทดสอบแบบปรนัย


1. “ผู้สอนศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ พิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยเลือกใช้สื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้” ข้อความข้างต้นนี้ตรงกับข้อใด
ก. กระบวนการออกแบบสื่อการเรียนรู้
ข. กระบวนการเรียนรู้
ค. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ง. การออกแบบการจัดการเรียนรู้


2. ทุกข้อคือการพัฒนาหลักสูตร แบ่งได้เป็น4 ระดับ ยกเว้นข้อใด

ก. การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ
ข. การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น
ค. การพัฒนาหลักสูตรระดับเขตพื้นที่
ง. การพัฒนาหลักสูตรระดับห้องเรียน

3.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสำคัญของหลักสูตรอิงมาตรฐาน

ก. มาตรฐานเป็นจุดเน้นของการพัฒนาหลักสูตรเชื่อมโยงกับมาตรฐาน
ข. องค์ประกอบของหลักสูตรเชื่อมโยงกับมาตรฐาน
ค. การประเมินผลสะท้อนมาตรฐานอย่างชัดเจน
ง. การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้คือหัวใจของหลักสูตร

4.ผู้จัดทำหลักสูตรท้องถิ่นคือ

ก. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ข. สถานศึกษา
ค. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ง. ก.ศ.จ.

5.ผู้จัดทำกรอบสาระหลักสูตรท้องถิ่น คือ

ก. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ข. สถานศึกษา
ค. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ง. ก.ศ.จ.

6. ครอบครัวของคุณสมศรีต้องการจะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใครเป็นผู้อนุญาต

ก. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ข. ผู้อำนวยการสถานศึกษา
ค. ก.ศ.จ.
ง. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

7.คุณอมรต้องการจะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่บ้าน (Home school)

ก. ผู้อำนวยการสถานศึกษา
ข. ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
ค. ก.ศ.จ.
ง. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

8.ผู้ออกหนังสือรับรองหรือหลักฐานการจบการศึกษาแก้ผู้เรียนที่จัดโดยครอบครัว คือ

ก. ผู้อำนวยการสถานศึกษา
ข. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ค. ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
ง. ผู้ปกครอง

9.สิ่งใดที่สามารถเพิ่มเติมได้ตามจุดเน้นของเขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษาและกลุ่มสาระการเรียนรู้

ก. ตัวชี้วัด
ข. มาตรฐานการเรียนรู้
ค. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
ง. คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์

10.“มาตรฐานการเรียนรู้” มีความสำคัญโดยตรงต่อสถานศึกษาและผู้ปกครองอย่างไร

ก. มาตรฐานการเรียนรู้ช่วยให้ทราบถึงสิ่งที่ต้องรู้ และปฏิบัติได้
ข. มาตรฐานการเรียนรู้เป็นกรอบและแนวทางในการสร้างหลักสูตร
ค. มาตรฐานการเรียนรู้เป็นสื่อกลางในการรายงานผลการเรียนรู้
ง. การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วยให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาผู้เรียน



แบบทดสอบแบบอัตนัย

1.ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรอิงมตราฐานมีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง

ตอบ.................................................................................................

2.จงบอกความสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น มาพอสังเขป

ตอบ.................................................................................................

3.จงบอกความหมายของหลักสูตรท้องถิ่น มาพอสังเขป

ตอบ.................................................................................................

4.จงบอกความหมายของหลักสูตรอิงมาตรฐาน มาพอสังเขป

ตอบ.................................................................................................

5.ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐานมีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง

ตอบ.................................................................................................



แนวคำตอบอัตนัย

1. ตอบ ขั้นที่ 1  การสํารวจสภาพปัญหาของชุมชน             

ขั้นที่ 2  การวิเคราะห์สภาพปัญหาชุมชนและความต้องการของผู้เรียน            

 ขั้นที่ 3  เขียนผังหลักสูตร            

 ขั้นที่ 4  เขียนหลักสูตร   


2. ตอบ 

1.  เป็นหลักสูตรที่ตอบสนองการเรียนรู้ของรู้เรียนเฉพาะเนื้อหาสาระของหลักสูตร สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนตามสภาพปัญหาที่เป็นจริง           

   

2.  ทําให้กิจกรรมการเรียนรู้มีความหมายต่อผู้เรียน  เพราะผู้เรียนสามารถนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้  


3. ตอบ หลักสูตรท้องถิ่น  หมายถึงหลักสูตรที่สร้างขึ้นจากสภาพปัญหาและความต้องการของ ผู้เรียน  หลักสูตรท้องถิ่นจะสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่นนั้นๆ


4. ตอบ หลักสูตรอิงมาตรฐาน   หมายถึงหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายหรือเป็นกรอบทิศทางในการ กําหนดเนื้อหา ทักษะกระบวนการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและประเมินผลเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมาย


5. ตอบ มี 5 ขั้นตอน คือ

มาตรฐานเป็นจุดเน้นของการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับ 

องค์ประกอบของหลักสูตรเชื่อมโยงกับมาตรฐาน 

หน่วยการเรียนรู้คือหัวใจของหลักสูตร  

กระบวนการ และขั้นตอนการจัดทำหลักสูตรมีความยืดหยุ่น 

การประเมินผลสะท้อนมาตรฐานอย่างชัดเจน 


วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564

14.หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน

 

วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลาง 2551
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ


หลักการ 

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้

1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการ จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น

4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยึดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้

5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

6. เป็นหลักสูตรการศึกษา สำหรับ การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์


จุดมุ่งหมาย 

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิด กับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้

1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง

2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต

3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย

4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันใน สังคมอย่างมีความสุข

สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 

ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้

1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่ การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่าง เหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหา

ความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มี ประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการ ต่างๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง บุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับ การเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่ พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 

ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้

1. รักชาติ ศาสนา กษัตริย์

2. ซื่อสัตย์สุจริต

3. มีวินัย

4. ใฝ่เรียนรู้

5. อยู่อย่างพอเพียง

6. มุ่งมั่นในการทำงาน

7. รักความเป็นไทย

8. มีจิตสาธารณะ

นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง

โดยโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เพิ่มเติมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คือ

- รู้จักปรับตัว

- เป็นผู้นำ

มาตรฐานการเรียนรู้ 

การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและ พหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ ดังนี้

1. ภาษาไทย
2. คณิตศาสตร์
3. วิทยาศาสตร์
4. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
5. สุขศึกษาและพลศึกษา
6. ศิลปะ
7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี 

8. ภาษาต่างประเทศ

     ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญ ของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ และ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์อย่างไร เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมิน คุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่ การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าว เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด



ตัวชี้วัด 

ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้  ปฏิบัติได้  รวมทั้งลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น  ตัวชี้วัด นำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ การจัดการสอน เป็น เกณฑ์สำคัญสำหรับวัดผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน ตัวชี้วัดมี 2 อย่าง คือ  ตัวชี้วัดชั้นปี  และตัวชี้วัดช่วงชั้น ตัวชี้วัดชั้นปีใช้กับ ป.1–ม.3   (เป็นเป้าหมายพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปี) ตัวชี้วัดช่วงชั้นใช้กับ ม.4- ม.6 (เป็นเป้าหมายพัฒนาผู้เรียนเฉพาะในระดับ ม. ปลาย) 


 

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 

 หลักสูตรใหม่กำหนดให้มี 8 กลุ่มสาระและ 67 มาตรฐาน คือ  

- ภาษาไทย  (มี 5 สาระ 5  มาตรฐาน)  

- คณิตศาสตร์  (มี 6 สาระ  14  มาตรฐาน)  

- วิทยาศาสตร์  (มี 8 สาระ 13 มาตรฐาน)  

- สังคมศึกษา  ศาสนา และวัฒนธรรม (มี 5 สาระ 11 มาตรฐาน)  

- สุขศึกษาและพลศึกษา  (มี 5 สาระ 6 มาตรฐาน)  

- ศิลปะ (มี 3 สาระ 6 มาตรฐาน)  

- การงานอาชีพและเทคโนโลยี (มี 4 สาระ 4 มาตรฐาน)  

- ภาษาต่างประเทศ (มี 4 สาระ 8 มาตรฐาน) 

 

 

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  


มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองตามศักยภาพ เสริมให้เป็นผู้มีศีลธรรม  จริยธรรม  ระเบียบวินัย  สร้างจิตส านึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม  สามารถจัดการตนเองได้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 

 

 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมี 3 ลักษณะ คือ 

- กิจกรรมแนะแนว  

- กิจกรรมนักเรียน  

   1. กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี  ยุวกาชาด  นักศึกษา วิชาทหาร  ผู้บำเพ็ญประโยชน์   

   2. กิจกรรมชุมนุมหรือชมรม 


- กิจกรรมพัฒนาสังคมและสาธารณะประโยชน์ (ของเดิม ไม่มีกิจกรรมพัฒนาสังคมฯ) 

- กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน ให้ผู้เรียน รู้จักตนเอง  ช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจนักเรียน  ทั้งยังช่วยเหลือเข้าใจผู้ปกครองในการมีส่วนร่วมพัฒนาผู้เรียน 

- กิจกรรมนักเรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีวินัย  เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี เช่น ลูกเสือ เนตรนารี  

ยุวกาชาด  นักศึกษาวิชาทหาร  ผู้บำเพ็ญประโยชน์  กิจกรรม ชุมนุมหรือชมรม 

- กิจกรรมพัฒนาสังคมและสาธารณะประโยชน์  เป็นกิจกรรมที่ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตสาธารณะ  เช่นกิจกรรมอาสาพัฒนาต่างๆ 



 

ระดับการศึกษาและการมุ่งเน้นแต่ละระดับ  

จัดการศึกษาเป็น 3 ระดับ คือ  

1. ประถมศึกษา (6 ปี)    

2. มัธยมศึกษาตอนต้น (3 ปี) 

3. และมัธยมศึกษาตอนปลาย (3 ปี)  


- ประถมศึกษา ทั้ง 8 สาระ เน้นทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน (ภาษาไทย) การคิดคำนวณ การคิดพื้นฐาน การติดต่อสื่อสาร กระบวนการ เรียนรู้ทางสังคมและพื้นฐานการเป็นมนุษย์ เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ 


- มัธยมศึกษาตอนต้น เน้นให้ผู้เรียนส ารวจความถนัดและความสนใจ ของตนเอง มีทักษะในการคิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา ทักษะใน การใช้เทคโนโลยี  รับผิดชอบต่อสังคม  มีความภูมิใจในความเป็นไทย  


- มัธยมศึกษาตอนปลาย  เน้นความรู้และทักษะเฉพาะด้าน  สนอง ความสามารถ และความถนัดและความสนใจ ของผู้เรียนแต่ละคนทั้งในด้าน วิชาการและวิชาชีพ


 

 

เวลาเรียน  


1.ประถมศึกษา จัดการเรียนเป็นรายปี  เรียนวันละไม่เกิน 5 ชั่วโมง   


2.มัธยมศึกษาตอนต้น จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค  มีเวลาเรียนวันละไม่ เกิน 6 ชั่วโมง  ใช้เกณฑ์ 1 หน่วยกิตเท่ากับ 40 ชั่วโมง  


3.มัธยมศึกษาตอนปลาย จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค  มีเวลาเรียนวันละ ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง  ใช้เกณฑ์ 1 หน่วยกิตเท่ากับ 40 ชั่วโมง 

 

 *กำหนดให้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนทั้ง 3 กิจกรรม ในชั้น ป.1-ม.3 ปีละ 120 ชั่วโมง และ ม.ปลาย (ม. 4-6) รวม 360 ชั่วโมง และก าหนดให้สถานศึกษา จัดสรรเวลากิจกรรมพัฒนาสังคมและสาธารณะประโยชน์ ในชั้น ป.1-ป.6 รวม 60 ชั่วโมง (ปีละ 10 ชั่วโมง) ม.ต้น 45 ชั่วโมง (ปีละ 15 ชั่วโมง) ม.ปลาย 60 ชั่วโมง (ปี ละ 20 ชั่วโมง) 



 

การจัดการเรียนรู้ 


 เป็นกระบวนการสำคัญหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ  ผู้สอนต้องพยายามคัด สรรการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนผ่านสาระที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร  ประกอบด้วย 

1. หลักการจัดการเรียนรู้  เน้นผู้เรียนสำคัญที่สุด  เชื่อว่าทุกคนมี ความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้  กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้อง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาเต็มตามศักยภาพโดยค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล  และการพัฒนาสมอง  เน้นให้ความรู้และคุณธรรม

 2. กระบวนการเรียนรู้  ผู้สอนต้องทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ต้องมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีการปฏิบัติลงมือทำจริง และ สามารถเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการจัดการผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา  

 3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้  ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรให้เข้าใจทุก ขั้นตอนแล้วพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสม  เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนา เต็มตามศักยภาพและบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด 

4. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน 


 

บทบาทผู้สอน 

1. ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลแล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการ จัดการเรียนรู้ ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน 

2. กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้านความรู้และทักษะ กระบวนการ ที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ รวมทั้ง คุณลักษณะอันพึงประสงค์  

3. ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่าง บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เพื่อน าผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย  

4. จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้  และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้  

5. จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรมนำภูมิปัญญาท้องถิ่น   เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 

6. ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย  เหมาะสมกับ ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน  

7. วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้ง ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง 

การจัดการเรียนรู้



 บทบาทของผู้เรียน  

       กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้  วิเคราะห์  สังเคราะห์ข้อความรู้  ตั้งคำถาม คิดหาคำตอบหรือหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ  ลงมือปฏิบัติจริง  สรุปสิ่งที่ ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์ต่าง  ๆ  มีปฏิสัมพันธ์ทำงานทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู  ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของ ตนเองอย่างต่อเนื่อง


 

 สื่อการเรียนรู้  


- เป็นเครื่องมือส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ 

- สื่อมีหลายประเภท  สื่อธรรมชาติ  สื่อสิ่งพิมพ์  สื่อเทคโนโลยี เครือข่าย ต่างๆ ในท้องถิ่น ฯลฯ ผู้สอนต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ผู้สอนอาจจัดทำหรือ พัฒนาขึ้นมาใหม่  หรือเลือกใช้สื่อต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว 


 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้  ตั้งอยู่บนพื้นฐาน 2 ประการ คือ  

    1. ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน 

    2. และตัดสินผลการเรียน  


การประเมินตามตัวชี้วัดจะสะท้อนสมรรถนะผู้เรียน การประเมินมี 4 ระดับ คือ    

1. ระดับชั้นเรียน   

2. ระดับสถานศึกษา   

3. ระดับเขตพื้นที่การศึกษา   

4. ระดับชาติ  


- การประเมินในชั้นเรียนจะประเมินโดยครู  ผู้เรียน  เพื่อน  หรือ ผู้ปกครองก็ได้ ต้องใช้เทคนิคประสบการณ์หลากหลายและสม่ำเสมอ  เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน  การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ  ในกรณีที่ผู้เรียน ไม่ผ่านตัวชี้วัด  ให้มีการสอนซ่อมเสริม  


- การประเมินระดับสถานศึกษาเป็นการประเมินรายปีหรือรายภาค 


 - การประเมินระดับเขตพื้นที่  จะประเมินโดยข้อสอบมาตรฐานที่เขตพื้นที่ การศึกษาจัดทำขึ้นผลการประเมินใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา 

 

- การประเมินระดับชาติ  สถานศึกษาต้องจัดให้นักเรียนทุกคนที่เรียนในชั้น ป.3, ป.6, ม.3 และ ม.6 เข้ารับการประเมิน 



 

 เกณฑ์การวัดและการประเมินผลการเรียน 

 - ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคน  เก็บข้อมูลส่ำเสมอและต่อเนื่อง  

       .ระดับประถมศึกษา ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมด             .ระดับมัธยมศึกษาผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนในรายวิชานั้นๆ              


- ผู้เรียนทุกระดับต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด และผ่านตามเกณฑ์ ที่สถานศึกษากำหนด  

- ผู้เรียนทุกระดับต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา             

- ผู้เรียนทุกระดับต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตาม เกณฑ์ที่สถานศึกษา

กำหนดในการอ่าน  คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน   การตัดสินผลระดับประถมศึกษาจะให้ตัดสินผลการเรียนรายวิชาเป็นตัวเลข  ตัวอักษร  หรือร้อยละก็ได้ การตัดสินผลระดับมัธยมศึกษาให้ตัดสินผลเป็นรายวิชาใช้ตัวเลขแสดงระดับ 8 ระดับ คือ 0, 1, 1.5, 2, 2.5, 3, 3.5, 4   ทุกระดับการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน  และคุณลักษณะอัน พึงประสงค์  ให้ระดับ ดีเยี่ยม  ดี  และผ่าน  ทุกระดับการประเมินกิจกรรมและพัฒนาผู้เรียน  ผ่าน ไม่ผ่าน  การรายงานผลการเรียน ต้องรายงานให้ผู้ปกครองทราบ เป็นระยะๆ อย่าง น้อยภาคเรียนละครั้ง 



 

เกณฑ์การจบการศึกษา  


1. ระดับประถมศึกษา ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และรายวิชา/ กิจกรรมเพิ่มเติมตามโครงสร้างเวลาเรียนที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนด มีผลการประเมินรายวิชาพื้นฐานผ่านเกณฑ์การประเมินที่สถานศึกษากำหนด 


 

 2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และรายวิชา เพิ่มเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต (ขั้นต่ำสุดคือไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต)โดยเป็นรายวิชา พื้นฐาน 66 หน่วยกิตและเป็นรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด (ไม่น้อย กว่า 11 หน่วยกิต)  


3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และ รายวิชาเพิ่มเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต (ขั้นต่ำสุดคือไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต) โดย เป็นรายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิตและเป็นรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด (ขั้นต่ าสุดคือไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนในระดับผ่าน เกณฑ์ การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด   ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์ การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด    ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ ประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด 



เอกสารหลักฐานการศึกษา

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  2551  หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2551 กำหนด เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษาจะต้องดำเนินการเป็น 2 ประเภทได้แก่ 

 - เอกสารหลักฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด  

- เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษากำหนด 



เอกสารหลักฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด  


1.  ระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1)     เป็นเอกสารสำหรับบันทึกข้อมูลผลการเรียนของผู้เรียนตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้แก่ ผลการเรียนตามกลุ่ม สาระการเรียนรู้  ผลการประเมินการอ่าน  คิดวิเคราะห์ และเขียน  ผลการ ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  สถานศึกษาจะต้องจัดท าและออกเอกสารนี้ให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคล  เมื่อผู้เรียนจบ การศึกษาแต่ละระดับ หรือเมื่อผู้เรียนออกจากสถานศึกษา  เพื่อใช้แสดงผลการ เรียนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และใช้เป็นหลักฐานแสดงวุฒิการศึกษาเพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อ  สมัครงานหรือขอรับสิทธิ ประโยชน์อื่นใดที่พึงมีพึงได้ตามวุฒิการศึกษานั้น   


2. ประกาศนียบัตร (ปพ.2)     เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาที่มอบให้แก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับและ ผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551เพื่อประกาศและรับรองวุฒิการศึกษาของผู้สำเร็จการศึกษา ตามวุฒิแห่งประกาศนียบัตรนั้น ประกาศนียบัตรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ดังนี้  

-  ใช้เป็นหลักฐานแสดงวุฒิการศึกษา  เพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อ  สมัครงาน หรือขอรับสิทธิประโยชน์อื่นใดที่พึงมีพึงได้ตามวุฒิการศึกษาแห่งประกาศนียบัตร นั้น     

 -  ตรวจสอบวุฒิทางการศึกษาของผู้เรียน     


3. แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา  (ปพ.3)    เป็นเอกสารส าหรับอนุมัติการจบ หลักสูตรของผู้เรียนในแต่ละรุ่นการศึกษา โดยบันทึกรายชื่อและข้อมูลทางการศึกษาของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา  (ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6)  ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ  (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) และผู้จบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6) แบบรายงานผู้ส าเร็จการศึกษา (ปพ.3)  จัดท าเพื่อ  

- ผู้บริหารสถานศึกษา  อนุมัติการจบการศึกษาระดับประถมศึกษา การศึกษาภาคบังคับ และการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้เรียน  

-  แสดงรายชื่อผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา การศึกษาภาคบังคับและ การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองวุฒิจากกระทรวงศึกษาธิการ  

- เป็นหลักฐานในการตรวจสอบ  และรับรองวุฒิหรือผลการศึกษาของ ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานั้นๆ 



 เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษากำหนด 

ในการจัดการศึกษาสถานศึกษาจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลด้านความก้าวหน้าในการเรียนรู้ สถานศึกษาจึงต้องมี เอกสารที่จัดท าขึ้นเพื่อบันทึกผลการประเมินและข้อมูลต่าง ๆ  เกี่ยวกับผู้เรียน เอกสารเหล่านี้  ได้แก่  แบบบันทึกผลการเรียนประจ ารายวิชา แบบรายงาน ประจ าตัวนักเรียน  ระเบียนสะสม  ใบรับรองผลการเรียน  และเอกสารอื่นๆ  ตามที่สถานศึกษาเห็นสมควร 

 

1. แบบบันทึกผลการเรียนประจำรายวิชา  เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้น  เพื่อให้ผู้สอนใช้บันทึกข้อมูลการวัดและ การประเมินผลการเรียนตามแผนการจัดการเรียนการสอนและประเมินผลการเรียน  และใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสินผลการเรียนแต่ละรายวิชา เอกสารนี้ ควรจัดท าเพื่อบันทึกข้อมูลของผู้เรียนเป็นรายห้อง  เอกสารบันทึกผลการเรียนประจำรายวิชา  นำไปใช้ประโยชน์ดังนี้ 

 -  ใช้เป็นเอกสารเพื่อการด าเนินงานของผู้สอนแต่ละคนในการวัดและ ประเมินผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละรายวิชา  รายห้อง     

-  ใช้เป็นหลักฐานส าหรับตรวจสอบ  รายงาน  และรับรองข้อมูลเกี่ยวกับ วิธีการและกระบวนการวัดและประเมินผลการเรียน  

-  เป็นเอกสารที่ผู้บริหารสถานศึกษาใช้ในการอนุมัติผลการเรียนประจำภาคเรียน / ปีการศึกษา



 2. แบบรายงานประจำตัวนักเรียน  เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลการประเมินผลการเรียนรู้  และพัฒนาการด้านต่าง ๆ  ของผู้เรียนแต่ละคนตามเกณฑ์การตัดสินการ ผ่านระดับชั้นของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  รวมทั้งข้อมูลด้านอื่นๆ  ของผู้เรียนทั้งที่บ้านและโรงเรียน  เป็นเอกสารรายบุคคล  สำหรับสื่อสารให้ ผู้ปกครองของผู้เรียนแต่ละคนได้รับทราบผลการเรียนและพัฒนาการด้านต่าง ๆ  ของผู้เรียนและร่วมมือในการพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง     


3. ใบรับรองผลการเรียน  เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อรับรองสถานภาพความเป็นผู้เรียนในสถานศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่หรือรับรองผลการเรียนหรือวุฒิของผู้เรียนเป็นการ ชั่วคราวตามที่ผู้เรียนร้องขอ  ทั้งกรณีที่ผู้เรียนกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนหรือเมื่อจบ การศึกษาไปแล้วแต่ก าลังรอรับหลักฐานการศึกษาระเบียนแสดงผลการเรียน เป็นต้น  ใบรับรองผลการเรียนมีอายุการใช้งานชั่วคราว โดยปกติประมาณ 30 วัน ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานแสดงคุณสมบัติของผู้เรียนในการสมัครเข้า ศึกษาต่อ  สมัครเข้าทำงาน  หรือเมื่อมีกรณีอื่นใดที่ผู้เรียนแสดงคุณสมบัติเกี่ยวกับ วุฒิความรู้  หรือสถานภาพการเป็นผู้เรียนของตน  

 

 

 4. ระเบียนสะสม  เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดท าขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของ ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ  เป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง  ตลอดช่วงระยะเวลาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  12  ปี  ระเบียนสะสมให้ข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ในการแนะแนวทางการศึกษาและการประกอบอาชีพของผู้เรียน  การ พัฒนาปรับปรุงบุคลิกภาพ  การปรับตัวของผู้เรียน และผลการเรียน ตลอดจน รายงานกระบวนการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนระหว่างสถานศึกษากับบ้าน และใช้ เป็นหลักฐานในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เรียนตามความเหมาะสม 

 

 

 

 


อ้างอิง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา.(2557).หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน , สืบค้นเมื่อวันที่13กันยายน2564


สำนักวิชาการและมาตราฐานการศึกษา.(2561).หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน.สืบค้นเมื่อวันที่13กันยายน2564.


Kruesantuter.(2556).สรุปหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน.สืบค้นเมื่อวันที่13กันยายน2564




แนวข้อสอบแบบปรนัย

 1.  การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน บทบาทของครูผู้สอนจะเป็นลักษณะใด          

ก.   ผู้สอนเนื้อหาวิชาเป็นหลัก

ข.   ผู้ชี้นำด้านความความประพฤติ

ค.   ผู้ถ่ายทอดความรู้   

ง.    ผู้ช่วยเหลือส่งเสริมสนับ สนุนผู้เรียน


 2. สิ่งใดในหลักสูตรช่วยให้เกิดความชัดเจนช่วยให้การจัดการเรียนการสอนได้อย่างเป็นลำ ดับ  ลดความซ้ำซ้อน สิ่งที่สอน และช่วยให้ผู้สอนชั้นเดียวกันไปในทิศทางเดียวกัน     

ก.   ตัวชี้วัดชั้นปี     

ข.   คุณลกัษณะที่พึงประสงค์  

ค.   มาตรฐานการเรียนรู้  

ง.   เกณฑ์การวัดและประเมินผล 


3.     สถานศึกษาทุกแห่งจะใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑      ก.   ๒๕๕๒

ข.   ๒๕๕๓     

ค.   ๒๕๕๔   

ง    ๒๕๕๕ 


4.  ข้อใดไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการปรับปรุงหลักสูตร

ก.   หลักสูรมีเนื้อหามาเกินไป  

ข.   การวดัและประเมินผลไม่สะทอ้นมาตรฐาน  

ค.   การปรับเปลี่ยนรัฐบาล  

ง.    ความสนับสนุนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษา


5. ข้อใดเป็นหลักการของหลักสูตร  

ก.   เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้รียนเป็นสำคัญ  

ข.   มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกำลังกาย  

ค.   มีความสามารถในการสื่อสาร  

ง.    มีความรักชาติมีจิตสา นึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก 

 

 6.  ข้อใดแสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย ทิศทางของการจัดการศึกษาของชาติ  

ก.   วิสัยทัศน์หลักสูตร

ข.   ตัวชี้วัดชั้นปี  

ค.   สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน  

ง.    โครงสร้างเวลาเรียน


7. มาตรฐานช่วงชั้นกำหนดไว้สำหรับชั้นใด  

ก.   ป.๓  

ข.   ป.๖  

ค.   ม.๓  

ง.    ม.๔-๖ 

8. การกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  เพื่อมุ่งให้เกิดสิ่งใด    

ก.   ให้สังัคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้    

ข.   ให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข    

ค.   ให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข    

ง.    เกิดความสมานฉันท์ในชาติ 


9.   ข้อใดไม่ใช่การจัดระดับการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  

ก.   กิจกรรมแนะแนว  

ข.   กิจกรรมนกัเรียน  

ค.   กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์  

ง. กิจกรรมส่งเสริมโครงงานอาชีพ 


10. ข้อใดไม่ใช่การจัดระดับการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  

ก.   ระดับปฐมวัย  

ข.   ระดับประถมศึกษา  

ค.   ระดับมัมธัยมศึกษาตอนต้น 

ง.    ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 



แนวข้อสอบแบบอัตนัย

1.เหตุผลใดไม่ใช่คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พ.ศ. ๒๕๕๑  

ตอบ......................................................................................................................

2.  หน่วยงานใดเป็นผจู้ดทำ ระเบียบหรือแนวปฏิบัติในการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา 

ตอบ......................................................................................................................

3.เอกสารใดไม่ใช่เอกสารหลกัฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกา หนด 

ตอบ......................................................................................................................

4.การวัดประเมินผลของระดับใดดำเนินการเพื่อการตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายปีและรายภาค 

ตอบ......................................................................................................................

5.การจัดการศึกษาระดับใดมุ่งเน้นใหผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความพอใจของตนเอง 

ตอบ......................................................................................................................


แนวคำตอบ

1. ตอบ มีคุณธรรมจริยธรรม

2. ตอบ กระทรวงศึกษาธิการ

3. ตอบ แบบรายงานประจำตัวนักเรียน

4. ตอบ ระดับสถานศึกษา

5. ตอบ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น